“โกรธ..แต่ไม่เป็นบาป”

“จะโกรธก็โกรธได้แต่อย่าทำบาป อย่าให้ถึงตะวันตกท่านยังโกรธอยู่” (เอเฟซัส 4:26)
ความโกรธเป็นพฤติกรรมที่สำแดงออกถึงการกระทำที่ผิดบาปทั้งหลาย เพราะความโกรธคือจุดเริ่มต้นของความผิดบาปในหลายเรื่อง เมื่อเกิดความโกรธผลที่จะตามมาคือ ความเกลียดชัง ทะเลาะวิวาท แก้แค้น พูดจาหยาบโลน ส่อเสียดจนเกิดการปองร้ายสารพัด ใครที่มีความ
โกรธฝังแน่นอยู่ในจิตใจแล้ว ใจของคนนั้นก็จะมีแต่สิ่งชั่วร้าย ที่คิดจะปองร้ายต่อคนที่มาทำให้เขาโกรธ เมื่อเป็นการแก้แค้นตอบแทน นี่จึงเป็นความน่ากลัวของคนที่ตกเป็นทาสของความโกรธ

แต่ในทำนองเดียวกันโกรธแต่ไม่เป็นบาปก็มีเหมือนกัน ดังที่มีพระวจนะธรรมคัมภีร์กล่าวไว้ดังนี้ “จะโกรธก็โกรธได้แต่อย่าทำบาป อย่าให้ถึงตะวันตกท่านยังโกรธอยู่”

มีคนเคยถามผมว่า เวลาขับรถในบางครั้งที่มีคนปาดหน้าแซงซ้ายแซงขวา หรือไม่ก็หงุดหงิดจนทำให้โกรธเมื่อมีรถติด อย่างกรณีดังกล่าวนี้จะเป็นบาปไหม? ผมว่าน่าจะไม่ใช่ครับ เพราะมันเป็นความโกรธที่เกิดจากอารมณ์ชั่วครู่และก็ไม่มีตัวตนที่มาทำให้เราโกรธ ซึ่งส่วนใหญ่มันเป็นความโกรธที่มาจากความหงุดหงิดแต่พอรถออกวิ่งได้ หรือรถที่แซงเราพ้นไปเดี๋ยวเดียวเราก็เป็นปกติ ไม่มีความโกรธเหลืออยู่อีกต่อไป บางคนโกรธและอารมณ์เสียอยู่ไม่กี่นาที ก็ลืมสิ่งที่เกิดขึ้นเสียสนิท เหมือนกับว่าไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น

หรืออย่างตัวผมเองเคยมีบ่อยๆ ที่เวลากำลังใช้ค้อนตอกตะปูอยู่ แต่ตอกพลาดไปโดนหัวแม่มือเท่านั้นแหละ โกรธจนบอกไม่ถูกปาค้อนทิ้งและด่าตัวเองเสียงลั่นว่าซุ่มซ่ามไม่ระวัง อย่างนี้ก็เป็นความโกรธที่ไม่เป็นบาป

ผมมีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่ง เวลาเรานัดเจอกับเพื่อนๆ ที่อยู่ก๊วนเดียวกัน เวลาหากเราลืมชวนเขาหรือบอกเขาแล้ว เขาจะโกรธไม่ยอมพูดไม่ยอมจา แต่ยังไม่ถึงตะวันตกดินด้วยซ้ำเขาก็จะโทรมาพูดจาสนุกสนานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เคยพูดตลกโปกฮายังไงก็ยังเหมือนเดิม เขาเป็นอย่างนี้แต่ไม่เคยเห็นเขาโกรธใครเป็นเดือนเป็นปี อย่างมากก็แค่วันสองวันก็หายโกรธ

สรุปแล้วโกรธที่ไม่เป็นบาปนั้นก็คือ โกรธได้แต่อย่าให้ความโกรธปักหลักอยู่ในใจของ
เราตลอดไป จนเกิดเป็นบาปที่เกิดจากการกระทำจนทำให้กลายเป็นความเกลียด ใส่ร้ายป้ายสี อาฆาตมาดร้าย และกลายเป็นความชิงชัง ที่ต้องห้ำหั่นชนิดใครดีใครอยู่ตายก็อย่ามาเผาผีกัน อย่างนี้เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม พระเจ้าไม่ปรารถนาที่จะให้เราทุกคนเป็นคนโกรธ ไม่ว่าจะโกรธที่ไม่เป็นบาปหรือโกรธที่เป็นบาป พระองค์สอนให้เรารู้จักให้อภัยและยกโทษต่อผู้ที่ทำผิดต่อเรา เหมือนที่พระองค์ยกโทษให้แก่เราทุกคน ให้เราโกรธช้าแต่มีความเข้าใจมาก ชนะความชั่วร้ายด้วยความดี สวมหัวใจแห่งความรักตามแบบอย่างพระเยซูคริสต์ ดังที่พระวจนะธรรมกล่าวไว้ดังนี้

“แต่บัดนี้ สารพัดสิ่งเหล่านี้ท่านจงเปลื้องทิ้งเสีย คือความโกรธ ความขัดเคือง การคิดปองร้าย การพูดให้ร้าย คำพูดหยาบโลน” (โคโลสี 3:8)

โดย: อาจารย์อำนวย เรืองชาญ
นักจัดรายการวิทยุ “เพื่อคุณกำลังใจ”
องค์การก้าวไปสู่ความสว่าง