“เมื่อมันผ่านเข้ามาแล้ว มันก็ผ่านไป”
ผมเคยพูดมาแล้วว่า ความทุกข์ยากลำบากทั้งหลายที่เกิดขึ้นและเข้ามาสร้างความทุกข์ยากให้กับเราทุกคนอยู่วันนี้ มันเป็นเพียงแค่ปัญหาเล็กๆ ที่ไม่มีผลจะทำลายชีวิตของเราได้ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นก็อาจจะทำให้เกิดผลกระทบที่นำไปสู่การเสียจังหวะต่อการก้าวเดินไปบ้างเท่านั้น สุดท้ายพอเราตั้งหลักได้ ทุกอย่างก็จะเดินหน้าไปตามเดิมเป็นปกติเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น นอกจากจะช่วยส่งผลดีที่ช่วยให้เรามีภูมิต้านทานปัญหาได้เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมอีก ดังนั้น ทุกครั้งที่เกิดความทุกข์ร้อนใดๆ ต้องบอกกับตัวเราเองเสมอว่า “เมื่อมันผ่านเข้ามาแล้ว เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป” เช่นกัน คิดอย่างนี้ครับเมื่อมีมืดก็ต้องมีสว่างตามมา มันไปตามหลักธรรมชาติที่จะต้องเกิดอย่างไม่มีทางเป็นอื่น ขอให้คิดเสียว่ามันเป็นแค่เวลาของการทดสอบภูมิต้านทานของชีวิต ที่เราจะได้รู้ว่าเรามีภูมิต้านทานที่แกร่งทั้งกายและใจหรือไม่เพียงไร ที่จะเอาชนะฟันฝ่าอุปสรรคและความยากลำบากได้โดยไม่ต้องยอมแพ้ต่อปัญหาทั้งหนักหรือเบาอีกต่อไป
ทุกอย่างเราจชนะมันได้นั้นมันขึ้นอยู่ที่ “ใจ” เป็นหลักสำคัญยิ่งบวกกับการช่วยเหลือจากพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่อีกแรงหนึ่งด้วยแล้ว ก็จะเป็นหลักประกันที่มั่นใจได้เลยว่า ไม่มีอุปสรรคปัญหาใดๆ ในโลกนี้ที่จะสามารถทำลายชีวิตของเราได้ ยกเว้นเราขาดสองสิ่งที่สำคัญที่ว่านี้คือ “ใจ” และ “พลังแห่งการช่วยเหลือจากพระเจ้า” เท่านั้นเอง
คนที่ไม่เคยมีปัญหาและอุปสรรคนอกจากจะขาดภูมิต้านทานคุ้มกันแล้ว จิตใจและร่างกายของเขาจะมีแต่ความอ่อนแอ ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่เขาพบปัญหาและอุปสรรคเกิดขึ้นในชีวิต เขาจะถอดใจยอมแพ้ได้ง่ายๆ แต่คนที่ผ่านปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเขา เมื่อใดก็ตามหากเขายืดอกของเขาสู้โดยไม่หวั่นไหว สุดท้ายเขาจะเป็นผู้ชนะ ความยากลำบากที่เกิดจากปัญหาก็จะเป็นแค่ลมร้อนที่พัดเข้ามาเพียงแค่เดี๋ยวเดียวแล้วมันก็จะผ่านไปในเวลาไม่นาน โดยที่มันจะไม่สามารถทำอันตรายต่อเราได้เลย
ยิ่งถ้าเราได้มอบทั้งชีวิตไว้กับพระเจ้าแล้ว พระองค์ก็จะเป็นเสมือนภูผาอันแข็งแรงที่จะคุ้มครองปกปักษ์รักษาให้เรารอดและปลอดภัยเสมอ ดังพระวจนะธรรมที่ว่า “พระเจ้าทรงเป็นที่กำบังเข้มแข็งของคนที่ถูกกดขี่ ทรงเป็นที่กำบังเข้มแข็งในเวลายากลำบาก” (สดุดี 9:9)
โดย : อาจารย์อำนวย เรืองชาญ
นักจัดรายการวิทยุ “เพื่อคุณกำลังใจ”
องค์การก้าวไปสู่ความสว่าง