“ปลายทางที่ต่างกัน”
“ความสุขเป็นของบุคคล ผู้ไม่ดำเนินตามคำแนะนำของคนอธรรม หรือยืนอยู่ในทางของคนบาป หรือนั่งอยู่ในที่นั่งของคนที่ชอบเยาะเย้ย แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน เขาเป็นเช่นต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ ซึ่งเกิดผลตามฤดูกาล และใบก็ไม่เหี่ยวแห้ง การทุกอย่างซึ่งเขากระทำก็จำเริญขึ้น คนอธรรมไม่เป็นเช่นนั้น แต่เป็นเหมือนแกลบซึ่งลมพัดกระจายไป เหตุฉะนั้นคนอธรรมจะไม่ยั่งยืนอยู่ได้ เมื่อถึงคราวพระเจ้าทรงพิพากษา หรือคนบาปไม่ยืนยงในที่ชุมนุมของคนชอบธรรม เพราะพระเจ้าทรงทราบทางของคนชอบธรรม แต่ทางของคนอธรรมจะพินาศไป” (สดุดี 1:1-6)
คิดๆ ดูก็แปลก คนเหมือนกันแต่ชีวิตไม่เหมือนกัน คนหนึ่งเป็นคนดีที่เรียกว่า “คนชอบธรรม” แต่อีกคนหนึ่งไม่ดีเรียกกันว่า “คนอธรรม” ตลอดชีวิตของคนสองจำพวกนี้ต่างกันราวฟ้ากับดิน เดินคนละทางเป็นเส้นขนานสวนทางกัน สุดท้ายก็จบลงตรงปลายทางที่ต่างกัน ถ้าจะถามว่าเราอยากจะเป็นคนชอบธรรมหรืออยากเป็นคนอธรรม แน่นอน ทุกคนต่างก็อยากจะเป็นคนชอบธรรมหรือเป็นคนดีด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครสักคนที่อยากจะเป็นคนอธรรมหรือคนไม่ดี แล้วก็อาจถามต่ออีกว่า เรามีสิทธิ์ที่จะเลือกได้หรือไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือไม่ดี แน่นอน ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกันในการเลือกที่จะเป็นคนดีหรือไม่ดี แต่ที่การเลือกแตกต่างกันก็เพราะต่างก็เลือกไม่เหมือนกัน สาเหตุก็มาจากความแตกต่างของแต่ละคนโดยเฉพาะคนที่มีใจอ่อนแอ อาจจะถูกราคะตัณหาของเนื้อหนังเข้ามาครอบงำความคิดและการกระทำจนทำให้เห็นผิดเป็นชอบได้ เสร็จแล้วก็ตกเป็นเหยื่อของความบาปเข้ามาครอบงำชีวิตของเขาให้ตอบสนองต่อบาป จนทำให้กลายเป็นคนไม่ดีไปอย่างน่าเสียดาย ส่วนคนที่เขาได้มอบเส้นทางเดินชีวิตไว้กับพระเจ้า พระเจ้าก็จะเป็นโคมส่องทางให้แก่เขา เขาจะไม่เดินอยู่ในทางแห่งความมืด ทุกย่างก้าวของชีวิตพระเจ้าจะคอยประคับประคองไม่ให้หลงผิดไปจากพระเจ้า ชีวิตของเขาก็เป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกริมธารน้ำ ที่เกิดดอกออกผลตามฤดูกาล ใบก็ไม่เหี่ยวแห้ง งานทุกอย่างรวมทั้งชีวิตก็จำเริญขึ้นตลอดเส้นทางชีวิตจนกระทั่งถึงปลายทางสุดท้าย
และความแตกต่างที่สำคัญอีกอย่างของคนทั้งสองประเภทนี้ก็คือ คนหนึ่งเชื่อว่ามีพระเจ้า ส่วนอีกคนหนึ่งเชื่อว่าไม่มีพระเจ้า จึงทำให้การดำเนินชีวิตแตกต่างกันไปด้วย เพราะคนที่เชื่อว่ามีพระเจ้าเขาไม่ได้ดำเนินชีวิตด้วยการอาศัยสติปัญญาความเข้าใจหรือความรอบรู้ใดๆ ของตนเอง แต่เขามอบชีวิตทั้งหมดไว้ในการทรงนำของพระเจ้า ที่ทำเช่นนี้ไม่ใช่เพราะเขาไร้ปัญญา แต่เป็นเพราะเขาเชื่อว่ามนุษย์จะเอาชนะความบาป หรือความทุกข์ยากของโลกด้วยลำพังกำลังของตนเองไม่ได้ แต่โดยทางของพระเจ้าเท่านั้นที่เราจะประสบชัยชนะและความสำเร็จได้ แล้วเขาก็ได้สัมผัสถึงการช่วยเหลือของพระเจ้าด้วยตัวเขาเอง
ส่วนคนที่เชื่อว่าไม่มีพระเจ้านั้น เขาไม่มีอะไรที่จะเป็นหลักประกันที่สามารถสร้างความมั่นใจว่า การดำเนินชีวิตของเขาจะเป็นเช่นไร เขาพึ่งพาสติปัญญาอันน้อยนิดของมนุษย์เพื่อการดำเนินชีวิตที่มองไม่เห็นจุดหมายปลายทางที่ชัดเจน หรือหลักประกันใดๆ ให้เกิดความมั่นใจว่าเขาจะประสบความสำเร็จได้ พระคัมภีร์ได้บอกชัดถึงชีวิตของคนเช่นนี้ว่า ชีวิตของเขาเป็นเหมือนแกลบซึ่งถูกลมพัดกระจายไป ชีวิตของเขาจึงขาดความหนักแน่น ขาดความมั่นใจ ขาดหลักประกันและที่สำคุณคือขาดผู้ช่วย ดังนั้น ปลายทางของคนทั้งสองประเภทจึงต่างกันอย่างสิ้นเชิง
พระเจ้าให้สิทธิ์เราทุกคนที่จะเลือกทางเดินด้วยตนเอง ส่วนการที่จะเลือกเดินไปในทางไหนนั้นย่อมเป็นสิทธิ์ของเราเองที่จะต้องตัดสินใจ และการตัดสินใจของเราก็จะมีผลต่อปลายทางของชีวิตเช่นกัน ดังนั้น ปลายทางที่เราเลือกจะต่างกันหรือไม่ อยู่ที่เราแต่ละคนจะเลือกแล้วครับ
โดย: อาจารย์อำนวย เรืองชาญ
นักจัดรายการวิทยุ “เพื่อคุณกำลังใจ” และ “บ้านนี้มีรัก”
องค์การก้าวไปสู่ความสว่าง